ปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่เช่าโดยมีสิทธิ ผลเป็นอย่างไร |
|||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
บ้านที่โจทก์ปลูกสร้างขึ้นในที่ดินพิพาทของ พ. กับ ศ. ซึ่งเป็นบิดามารดาโดยได้รับความยินยอมจาก พ. กับ ศ. จึงเป็นเรื่องบุตรได้สิทธิปลูกทำโรงเรือนในที่ดินของบิดามารดา จึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนหรือการปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย ย่อมไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 146 บ้านทรงบังกะโลซึ่งโจทก์ต่อเติมขึ้นภายหลัง ย่อมไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทของจำเลยซึ่งได้รับโอนมาโดยพินัยกรรมของ ศ. เช่นกัน ___________________________
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 34 หมู่ที่ 4 และบ้านทรงบังกะโลส่วนต่อเติมที่ไม่มีเลขที่ ตำบลบางซ้าย อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้โจทก์สามารถรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปได้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 ตุลาคม 2542) เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากบ้านหลังดังกล่าวและยอมให้โจทก์รื้อถอนบ้านออกไป คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตรของนางศุขหรือสุดกับนายพร้อมส่วนจำเลยเป็นบุตรคนโตของโจทก์ นางศุขผู้เป็นยายของจำเลยทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 9666 ให้แก่จำเลยและตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ต่อมานางศุขถึงแก่ความตาย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า บ้านเลขที่ 34 เป็นของโจทก์หรือไม่ โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์เนื่องจากปลูกบ้านหลังดังกล่าวเมื่อครั้งแต่งงานกับนายไปล่ผู้เป็นสามี ส่วนจำเลยอ้างว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของนางศุขกับนายพร้อมโดยปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 9666 ซึ่งนางศุขได้ยกให้แก่จำเลยแล้วจึงเป็นส่วนควบกับที่ดินนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมนางศุขกับนายพร้อมปลูกบ้านเลขที่ 29 อยู่บนที่ดินดังกล่าว ต่อมาเมื่อโจทก์จะแต่งงานกับนายไปล่จึงแยกมาอยู่บ้านเลขที่ 34 ซึ่งเป็นบ้านทรงไทยโดยนางศุขกับนายพร้อมอนุญาตให้ปลูกบ้านลงบนที่ดินโดยโจทก์นำเงินจากการขายข้าวที่ทำนามาปลูก ใช้เงินปลูกสร้างประมาณ 280 บาท ซึ่งเป็นเงินเก็บของโจทก์เอง นอกจากนี้ยังปรากฏตามทะเบียนบ้านว่า โจทก์เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเจ้าบ้าน โดยมีนายสุมาลีผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 และเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลบางซ้ายกับนายถวัลย์กำนันตำบลบางซ้าย มาเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์ ส่วนจำเลยอ้างเพียงว่าบ้านเลขที่ 34 เป็นบ้านที่นางศุขกับนายพร้อมเป็นผู้ปลูกสร้าง แต่ก็ยอมรับข้อเท็จจริงว่าบ้านหลังดังกล่าวก่อสร้างหลังจากที่โจทก์กับนายไปล่แต่งงานกันแล้ว 1 ปี ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงเจือสมว่าหลังจากโจทก์จะออกเรือนแต่งงานได้มีการสร้างเรือนหอให้ไปแยกอยู่ต่างหากโดยขณะนั้นจำเลยซึ่งเป็นบุตรคนโตของโจทก์ก็ยังมิได้ถือกำเนิดออกมา ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่านางศุขกับนายพร้อมเป็นผู้ปลูกสร้างบ้านหลังดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หามีพยานอื่นสนับสนุนไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าบ้านเลขที่ 34 เป็นบ้านที่โจทก์ปลูกสร้างขึ้นโดยได้รับความยินยอมจากนายพร้อมกับนางศุข ผู้เป็นบิดามารดาของโจทก์ กรณีเป็นเรื่องบุตรได้สิทธิปลูกทำโรงเรือนในที่ดินของบิดามารดาจึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนหรือการปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วยย่อมไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อไปว่า บ้านทรงบังกะโลซึ่งต่อเติมขึ้นมาภายหลังเป็นส่วนควบของบ้านเลขที่ 34 หรือไม่ โจทก์อ้างว่าเป็นผู้ต่อเติมบ้านเลขที่ 34 โดยให้ช่างชื่อนายตรงเป็นผู้ดำเนินการต่อเติมให้ ส่วนจำเลยอ้างว่าเป็นผู้ต่อเติมเอง เห็นว่า เดิมจำเลยเบิกความว่าจ้างนายตรงเป็นช่างต่อเติมบ้านทรงบังกะโล แต่ครั้นเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านกลับระบุว่า ช่างที่มาต่อเติมนี้ชื่อนายสอนไม่ใช่นายตรงตามที่เบิกความไว้แต่แรกจึงเป็นความสับสนไม่แน่นอน นอกจากนี้นายถวัลย์ กำนันตำบลบางซ้าย ซึ่งโจทก์จำเลยเป็นลูกบ้านอยู่ในความปกครองยังเบิกความว่าก่อนที่จะต่อเติมบ้านโจทก์เคยมาปรึกษากับนายถวัลย์ว่าจะต้องทำอย่างไร นายถวัลย์แนะนำว่าขอให้โจทก์ไปติดต่อกับเทศบาลตำบลบางซ้าย ทำแบบการก่อสร้างต่อเติมนอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยที่ประชุมยังมีความเห็นว่าบ้านทรงบังกะโลที่ต่อเติมออกมาเป็นส่วนควบกับบ้านเลขที่ 34 น่าจะตกเป็นของโจทก์ นายถวัลย์เป็นกำนันตำบลบางซ้ายมาเป็นเวลาประมาณ 17 ปี และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เมื่อเป็นส่วนที่ต่อเติม จึงไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9666 ของจำเลยเช่นกัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าบ้านเลขที่ 9666 ของจำเลย จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน |
|||||||||